IOI 2020: นับเห็ดเปลี่ยนชนิด
โจทย์ข้อที่ยากทีสุดในการแข่งขัน IOI 2020 คงหนีไม่พ้นข้อที่ 2 ในวันที่ 2 ที่มีผู้เข้าแข่งขันเพียงคนเดียวที่ได้ 100 คะแนนเต็ม ตัวโจทย์เป็นแนวโต้ตอบ โดยจะให้คะแนนตามจำนวนครั้งที่โต้ตอบ ยิ่งสามารถทำได้ในจำนวนครั้งที่น้อยลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้คะแนนที่มากขึ้นเท่านั้น
โดยเนื้อหาโจทย์อย่างสรุปเล่าได้ว่า มีเห็ดอยู่สองชนิดที่มนุษย์ไม่สามารถแยกออกได้ด้วยตนเอง ส่วนเครื่องจักรที่มีก็สามารถนับจำนวนการเปลี่ยนแปลงของชนิดเห็ดที่ใส่เข้าไปเป็นลำดับได้เท่านั้น เช่น เมื่อใส่เห็ด 5 ดอกที่มีชนิด
ตัวอย่างการใส่เห็ดแบบต่างๆ และคำตอบจากเครื่องจักรที่บอกจำนวนครั้งที่เห็ดเปลี่ยนชนิด
คว้าคะแนนขั้นต่ำจากข้อสังเกตพื้นฐาน
เกณฑ์การให้คะแนนขั้นต่ำสุดที่ 10 คะแนน ยินยอมให้มีการเดินเครื่องจักรได้มากถึง
ส่วนเกณฑ์ 25 คะแนนในบันไดขั้นถัดไปนั้น จะห้ามเดินเครื่องจักรเกิน
- ตอบ 0: เห็ดทั้ง 3 ดอกเป็นชนิด
- ตอบ 1: มีเห็ดชนิด
อยู่ 2 ดอก และเห็ดชนิด อีก 1 ดอก (ไม่สนใจว่า คือดอกไหน) - ตอบ 2: เฉพาะเห็ดตรงกลางเป็นชนิด
ส่วนอีก 2 ดอกเป็นเห็ดชนิด
วางโครงร่างเทคนิคชิงคะแนนที่มากขึ้น
สำหรับเกณฑ์การให้คะแนนขั้นถัดไปจะเกิดขึ้นเมื่อสามารถเดินเครื่องจักรได้ไม่เกิน
เทคนิคสำคัญสำหรับการคว้าคะแนนในช่วงนี้จะอาศัยข้อสังเกตจากวิธีพื้นฐานที่ผ่านมา โดยใช้เห็ดที่เรารู้ชนิดอยู่แล้วเป็นจำนวนมากมาวางสับหว่างกับเห็ดที่เราต้องการนับ ซึ่งก็คือ สมมติว่าเรามีเห็ดที่รู้แน่ๆ ว่าเป็นชนิด
เมื่อ
เทคนิคนี้ทำให้เราสามารถนับชนิดเห็ดจำนวนมากได้โดยไม่ต้องถามเครื่องจักรหลายครั้ง เช่น แม้ในกรณีที่
อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถทำได้ดีกว่านั้นขึ้นไปอีก สังเกตว่าเห็ดดอกที่
แล้วเราจะโชคร้ายได้แค่ไหนกัน? หากเราไม่เจอเห็ดชนิด
ซึ่งก็คือ ที่
คำถามตอนนี้จะเหลือเพียงแค่ว่า ก่อนที่จะใช้ขั้นตอนวิธีที่เล่ามาเพื่อนับเห็ดแยกชนิดในระยะที่สอง เราควรทำอย่างไรเพื่อหาเห็ดชนิดเดียวกันมาให้ได้
เก็บงานให้เรียบร้อยมุ่งสู่คะแนนเต็ม
จากหัวข้อที่ผ่านมา จะเห็นว่าการหาเห็ดชนิดเดียวกันให้ได้
เนื่องจากเริ่มต้นมาเรารู้ชนิดเห็ดที่แน่ชัดอยู่เพียงแค่ดอกเดียว ดังนั้นการถามครั้งแรกๆ คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องถามเห็ดครั้งละหนึ่งดอก (จัดถาดเห็ดอยู่ในรูป
เมื่อมีเห็ดชนิดเดียวกัน 2 ดอกแล้ว (ต่อไปนี้เพื่อความสะดวกจะสมมติให้เห็ดชนิดที่มีมากกว่าเป็นชนิด
- บิตที่ 0 ของคำตอบเป็น 0 เมื่อและก็ต่อเมื่อ
เป็นเห็ดชนิด - บิตที่ 1 ของคำตอบเป็น 0 เมื่อและก็ต่อเมื่อ
เป็นเห็ดชนิด
เราจะใช้เทคนิคถามสองรู้สองอีกเพียงไม่เกิน 2 ครั้ง ก็จะได้เห็ดชนิด
หลังจากนั้นเราจะจัดถาดด้วยเห็ดที่ไม่รู้ชนิดครั้งละสามดอกเช่นนี้
- หากคำตอบเป็น 0 หรือ 1 นั่นคือ
และ เป็นเห็ดชนิด ทั้งคู่ - หากคำตอบเป็น 4 หรือ 5 นั่นคือ
และ เป็นเห็ดชนิด ทั้งคู่ - หากคำตอบเป็น 2 หรือ 3 จะบอกได้แค่ว่า
กับ เป็นเห็ดชนิดต่างกัน
เทคนิคดังกล่าวคือการถามสามอาจรู้หนึ่งหรือสาม หากมันล้มเหลวโดยระบุชนิดเห็ดได้เพียงดอกเดียว อย่างน้อยเราจะรู้ว่าเห็ดอีกสองดอกต้องไม่เป็นชนิดเดียวกัน ถึงตอนนี้เราจะจัดการกับความกำกวมนี้โดยใช้เห็ดชนิด
กรณีแรกเมื่อเรามีเห็ดชนิด
ส่วนอีกกรณีเราจะจัดถาดเห็ด
- บิตที่ 2 ของคำตอบใหม่เป็น 0 เมื่อและก็ต่อเมื่อ
เป็นเห็ดชนิด - บิตที่ 1 ของคำตอบใหม่เป็น 0 เมื่อและก็ต่อเมื่อ
เป็นเห็ดชนิด - บิตที่ 0 ของคำตอบใหม่เป็น 0 เมื่อและก็ต่อเมื่อ
เป็นเห็ดชนิด
เรียกกระบวนการนี้ว่าแก้กำกวมถามสี่รู้สี่ (และเช่นเคย ชนิดเห็ดของ
แล้วเราจะต้องใช้เครื่องจักรในระยะที่หนึ่งด้วยเทคนิคเหล่าไปเป็นจำนวนเท่าไหร่? สมมติว่าเราสนใจ
ให้
แก้อนุพันธ์
นั่นก็คือ ในกรณีที่
โค้ด
#include "mushrooms.h"
#include <bits/stdc++.h>
using namespace std;
bool swapped = false;
bool conflict = false;
int i = 1;
int just_count_A = 0;
int just_count_B = 0;
vector<int> A = { 0 };
vector<int> B = { };
int calc_pivots_size(int n) {
return 1.5 + (3*sqrt(n-2)/4);
}
void make_swap() {
swapped = not swapped;
swap(just_count_A, just_count_B);
swap(A, B);
}
bool decide_swap() {
if (A.size() < B.size()) {
make_swap();
}
return true;
}
int handle_parity(int parity) {
(parity == 0 ? A : B).push_back(i);
return 1;
}
int handle_pair(int raw_info) {
int flag2b = raw_info >> 1;
if (flag2b & 0b01) {
conflict = true;
return 0;
}
(flag2b & 0b10 ? B : A).push_back(i);
(flag2b & 0b10 ? B : A).push_back(i+1);
return 2;
}
int handle_conflict_slow(int flag2b) {
(flag2b & 0b01 ? A : B).push_back(i);
(flag2b & 0b01 ? B : A).push_back(i+1);
(flag2b & 0b10 ? B : A).push_back(i+2);
conflict = false;
return 3;
}
int handle_conflict_fast(int raw_info) {
int flag3b = raw_info - 1;
(flag3b & 0b100 ? A : B).push_back(i);
(flag3b & 0b100 ? B : A).push_back(i+1);
(flag3b & 0b010 ? B : A).push_back(i+2);
(flag3b & 0b001 ? B : A).push_back(i+3);
conflict = false;
return 4;
}
void get_pivots(int n) {
int info;
int size = calc_pivots_size(n);
while (decide_swap() and (int)A.size() < size and i+4 < n) {
if (not conflict) {
switch (A.size()) {
case 1:
i += handle_parity(use_machine({ i, A[0] }));
break;
case 2:
info = use_machine({ i, A[0], i+1, A[1] });
i += handle_parity(info%2);
i += handle_parity(info/2);
break;
default:
info = use_machine({ i, A[0], i+1, A[1], i+2, A[2] });
i += handle_parity(info%2);
i += handle_pair(info);
}
} else if (B.size() < 2) {
info = use_machine({ i+1, A[0], i+2, A[1] });
i += handle_conflict_slow(info);
} else {
info = use_machine({ B[0], i, B[1], A[0], i+1, A[1], i+2, A[2], i+3 });
i += handle_conflict_fast(info);
}
}
}
vector<int> make_sample(int size) {
vector<int> sample = { };
for (int j=0; j<size; j++) {
sample.insert(sample.end(), { i+j, A[j] });
}
return sample;
}
void count_the_rest(int n) {
while (decide_swap() and i < n) {
int test_size = min((int)A.size(), n-i);
int info = use_machine(make_sample(test_size));
i += handle_parity(info%2);
i += test_size-1;
just_count_A += (test_size-1) - (info/2);
just_count_B += info/2;
}
}
int count_mushrooms(int n) {
get_pivots(n);
count_the_rest(n);
if (swapped) {
make_swap();
}
return A.size() + just_count_A;
}

author, illustrator

Nonthaphat Wongwattanakij
coauthor, coder